ไม่มีหมวดหมู่
ไม่มีหมวดหมู่

บทที่ 4 : การบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์

บทเรียน ซีรีส์พื้นฐานชีวิตคริสเตียน บทที่ 4 : การบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์

การบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์

ยอห์น 3:3-8  3พระเยซูตรัสตอบเขาว่า“เราบอกความจริงกับท่านว่าถ้าคนใดไม่ได้เกิดใหม่ คนนั้นไม่สามารถเห็นแผ่นดินของพระเจ้า”4นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า“คนชราจะเกิดใหม่ได้อย่างไร?จะเข้าไปในท้องของแม่ครั้งที่สองแล้วเกิดใหม่ได้หรือ?”5พระเยซูตรัสว่า“เราบอกความจริงกับท่านว่าถ้าใครไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณคนนั้นจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้6ที่เกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนังและที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ7อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่าพวกท่านต้องเกิดใหม่8ลมจะพัดไปที่ไหนก็พัดไปที่นั่นและท่านได้ยินเสียงลมนั้นแต่ไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหนคนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน”

เมื่อคริสเตียนกลับใจบังเกิดใหม่อย่างแท้จริงเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาในชีวิต และเมื่อพระวิญญาณเข้ามาในชีวิตนั่นหมายถึงความบริบูรณ์ทุกสิ่งอยู่กับคนๆนั้นเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่การรอให้ผู้นั้นเติบโตในความจริงและความเชื่อก็จะสามารถเกิดผลดีในทุกสิ่งได้

คนที่กลับใจบังเกิดใหม่มาเป็นคริสเตียนแล้ว แม้ภายนอกดูเหมือนไม่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป แต่จริงๆ แล้วคริสเตียนเป็นคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาเพราะคริสเตียนมีพระเจ้าที่ทรงทำการอัศจรรย์ต่างๆ อยู่ในชีวิตคริสเตียนจึงไม่ใช่คนธรรมดาแต่มี (ฤทธิ์เดช) พระวิญญาณ ของพระเจ้าในชีวิต

ฐานะที่เราเป็นคริสเตียนเราจึงคาดหวังการดำเนินชีวิตที่ติดตามพระเจ้าด้วยฤทธิ์เดชเช่นกัน เราจึงไม่ควรคาดหวังการดำเนินชีวิตธรรมดาๆเหมือนคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าแต่ต้องคาดหวังชีวิตที่ตื่นเต้นกระตือรือร้นที่จะเห็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าผ่านชีวิตของเราและการบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ พูดภาษาแปลกๆ เป็นทางแห่งฤทธิ์เดชในชีวิตคริสเตียน

บัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นทางแห่งการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณและพระวิญญาณทรงเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้าในเรา (ฤทธิ์เดช)

กิจการของอัครทูต1:8  แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ เสด็จมาเหนือท่านและท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย ทั่วแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก

พระคัมภีร์ตอนนี้บอกเราอย่างชัดเจนว่าเราจะได้รับฤทธานุภาพจากพระเจ้า (ฤทธิ์เดช) เมื่อเราได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์และผลของการได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้เรามีฤทธิ์เดชในการประกาศและเป็นพยานในฝ่ายพระเยซูคริสต์การบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงเป็นหนทางแห่งการรับฤทธานุภาพ (ฤทธิ์เดช)ของพระเจ้าในชีวิตของเรา

ก่อนที่พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์ตรัสให้สาวกรอยู่ก่อนที่จะไปทำพระราชกิจ จนกระทั่งเขาได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณฯ ทั้งหมดเต็มเปี่ยมด้วยการเต็มเปี่ยมในพระวิญญาณ และได้รับฤทธานุภาพจากพระเจ้า (ฤทธิ์เดช) เริ่มต้นพูดภาษาแปลกๆ และจากนั้นเป็นต้นมา การประกาศข่าวประเสริฐและการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นตลอดพระคัมภีร์ใหม่

กิจการของอัครทูต 2:4  พวกเขาทั้งหมดก็เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงเริ่มต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงให้พูด

การพูดภาษาแปลกๆหรือภาษาอื่นๆเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งชี้อย่างชัดเจนถึงประสบการณ์การเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
เมื่อเรารับบัพติศมาในพระวิญญาณเราจึงพูดภาษาแปลก ๆ ได้

กิจการของอัครทูต 8:14-17 เมื่อพวกอัครทูตที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม ได้ยินว่าชาวสะมาเรียได้รับพระวจนะของพระเจ้าแล้ว จึงให้เปโตรกับยอห์นไปหาเขาทั้งหลาย เมื่อเปโตรกับยอห์นไปถึงก็อธิษฐานเผื่อพวกเขา เพื่อให้พวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ได้เสด็จลงมาสถิตกับใคร พวกเขาเพียงแต่ได้รับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น เปโตรกับยอห์นจึงวางมือบนพวกเขา แล้วพวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วพวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์

ในกรณีทั่วไป คริสเตียนสามารถรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้การรับการอธิษฐานเผื่อ

กิจการของอัครทูต 10:44-46 ขณะเปโตรยังกล่าวคำเหล่านั้นอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาสถิตกับทุกคนที่ฟังพระวจนะนั้น บรรดาคนเข้าสุหนัตที่เชื่อแล้วซึ่งมาพร้อมกับเปโตรต่างประหลาดใจ เพราะว่าพระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่คนต่างชาติด้วย เพราะเขาทั้งหลายได้ยินคนเหล่านั้นพูดภาษาต่างๆ และยกย่องสรรเสริญพระเจ้า เปโตรจึงถามว่า

เหตุการณ์ตอนนี้ขณะที่เปโตรกำลังกล่าวพระวจนะแก่โครเนลิอัส พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ลงมา เปโตรรู้ทันทีเพราะสังเกตเห็นว่าเขาสามารถพูดภาษาแปลกๆได้การรับประสบการณ์บัพติศมาในพระวิญญาณยังเกิดกับคนที่มีใจแสวงหาพระเจ้าโดยไม่ต้องผ่านการวางมือในบางกรณี

เราจึงเห็นได้ว่าประสบการณ์การรับบัพติศมาในพระวิญญาณเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณ ไม่ใช่เป็นเรื่องการกระทำของมนุษย์หากเราปรารถนาจะเชื่อฟังพระเจ้าโดยเข้าส่วนในการรับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างแท้จริงแล้วพระเจ้าจะทรงประทานให้แก่เราอย่างแน่นนอนเพราะนี่เป็นพระสัญญาของพระเจ้าต่อผู้เชื่อทุกคน

กิจการของอัครทูต 19:4-6 4เปาโลจึงกล่าวว่า “ยอห์นให้รับบัพติศมาที่แสดงการกลับใจใหม่ และบอกคนทั้งปวงให้เชื่อในพระองค์ผู้จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซู” 5เมื่อได้ยินอย่างนั้น พวกเขาจึงรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า 6เมื่อเปาโลวางมือบนตัวพวกเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาสถิตกับพวกเขา พวกเขาจึงพูดภาษาแปลกๆ และเผยพระวจนะ

ทันทีที่อาจารย์เปาโลวางมือบนเขา เขาได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ พูดภาษาแปลกๆ และทำนายหรือกล่าวคำพยากรณ์ได้ด้วยสิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ฤทธิ์เดชการอัศจรรย์ที่มาจากพระเจ้าโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

ประโยชน์ของการรับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์

  1. ฤทธิ์เดชในการเป็นพยาน

กิจการของอัครทูต 1:8  แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดียทั่วแคว้นสะมาเรียและจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก

  1. เป็นประตูที่เปิดสู่การพัฒนาของประทานฝ่ายพระวิญญาณ

กิจการของอัครทูต 19:6 เมื่อเปาโลวางมือบนตัวพวกเขาแล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาสถิตกับพวกเขา พวกเขาจึงพูดภาษาแปลกๆ และเผยพระวจนะ

  1. ทำให้ผู้พูดจำเริญขึ้นในฝ่ายวิญญาณ เพราะเป็นภาษาฝ่ายวิญญาณ

1 โครินธ์ 14:2 เพราะว่าคนที่พูดภาษาแปลกๆ นั้น ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า เพราะว่าไม่มีใครเข้าใจได้ เขาพูดเป็นความล้ำลึกโดยพระวิญญาณ”

 

1 โครินธ์ 14:4 คนที่พูดภาษาแปลกๆ นั้นก็ทำให้ตัวเองเจริญขึ้น แต่ผู้เผยพระวจนะนั้นทำให้คริสตจักรเจริญขึ้น

  1. การอธิษฐานภาษาแปลกๆ จะช่วยให้เราอธิษฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โรม 8:26 ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณก็ทรงช่วยเมื่อเราอ่อนกำลังด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าควรจะอธิษฐานขออะไรอย่างไร แต่พระวิญญาณทรงช่วยขอแทน ด้วยการคร่ำครวญซึ่งไม่อาจกล่าวเป็นถ้อยคำ

วิธีการรับบัพติศมาในพระวิญญาณ

ลูกา 11:9-13 เราบอกพวกท่านว่า จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ ทุกคนที่แสวงหาก็พบ และทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา มีใครบ้างในพวกท่านที่เป็นพ่อ ถ้าลูกขอปลาจะเอางูให้เขาแทนหรือ? หรือถ้าขอไข่ จะเอาแมงป่องให้เขาหรือ? เพราะฉะนั้น ถ้าพวกท่านเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้สิ่งดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่พวกที่ขอต่อพระองค์”

การบัพติศมาในพระวิญญาณเป็นปรากฏการณ์ปกติในชีวิตของผู้เชื่อเมื่อเราขอด้วยใจจริงพระเจ้าจะประทานให้เพราะพระเจ้าทรงปรารถนาจะให้เราอยู่แล้วการวางมือเพื่อรับฤทธิ์เดชจากพระวิญญาณเพื่อการรับใช้ให้วางมือด้วยความเชื่อและหนุนใจให้เขาเปิดใจให้พระเจ้าทำงานในใจให้เชื่อว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถประทานการเกิดผลในทุกสิ่งได้ตามความเชื่อ ให้ผู้รับการอธิษฐานจดจ่อกับพระเจ้า

  1. ขออย่างจริงใจ ด้วยใจปรารถนาอย่างแท้จริง

  2. ไม่สงสัย เริ่มเปล่งเสียงพูดโดยความเชื่อ และไม่คิดคำในภาษาใดๆ

  3. ประสบการณ์การพูดภาษาฝ่ายวิญญาณ(แปลกๆภาษาแปลกๆ)หรือภาษาต่างๆจะ(ถูกพูดออก) มาอย่างเป็นธรรมชาติเอง

 

ชีวิตในพระวิญญาณเป็นชีวิตที่ตื่นเต้นเมื่อเราเป็นพยานเมื่อเราอ่านพระคัมภีร์เมื่อเราร่วมรับใช้พระเจ้าในคริสตจักรพระวิญญาณที่อยู่ในเราจะช่วยเราให้เราดำเนินชีวิตในทางพระเจ้าและเป็นกำลังใจให้เราในการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างน่าอัศจรรย์

 

อ้างอิง

  • เฮ็นรี่ แคลเรนซ์ ทีเซ่น. ศาสนศาสตร์ระบบ. กรุงเทพฯ: กนกบรรณาสาร, 1995.
  • อิริคสัน, มิลลาร์ด เจ., ศาสนศาสตร์คริสเตียน เล่ม 2. กรุงเทพฯ: พระคริสตธรรมกรุงเทพ, 20

 

บทที่ 8 : พิธีมหาสนิท

บทเรียนซีรีส์พื้นฐานชีวิตคริสเตียน บทที่ 8 : พิธีมหาสนิท

พิธีมหาสนิท

พิธีมหาสนิท เป็นพิธีที่คริสเตียนกระทำเพื่อระลึกถึงพระคุณความรักของพระเยซูคริสต์ที่ทรงสละพระชนม์ชีพเพื่อเราโดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นการเตือนให้ระลึกถึงและตระหนักว่าพระเยซูได้ทำพันธสัญญากับผู้เชื่อวางใจในพระองค์

พระเยซูทรงใช้ขนมปังและน้ำองุ่นในพิธีปัสการของยิวที่เล็งให้เห็นการไถ่โดยพระคุณของพระเจ้า พระเจ้าช่วยคนอิสราเอลออกมาจากการเป็นทาสในอียิปต์ เพื่อนำเขามาเป็นชนชาติของพระเจ้า คนยิวในสมัยพระเยซูทำพิธีนี้ทุกปีเพื่อเตือนให้ไม่ลืมพระคุณของพระเจ้า พระเยซูทรงใช้พิธีนี้เพื่อให้สาวกเข้าใจว่าพระองค์คือพระผู้ไถ่ที่แท้จริงโดยการสิ้นพระชนม์เพื่อรับโทษแทน และทุกคนที่เชื่อวางใจในพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่ของเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์เมื่อพระองค์เสด็จกลับมา

มัทธิว 26:26-29  26ระหว่างรับประทานอยู่นั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังขึ้นมา และเมื่อขอพระพรแล้ว ก็ทรงหักส่งให้บรรดาสาวกตรัสว่า “จงรับไปกินเถิด นี่เป็นกายของเรา” 27แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย เมื่อขอบพระคุณแล้ว ก็ทรงส่งให้พวกเขาตรัสว่า “จงรับไปดื่มทุกคนเถิด 28เพราะว่านี่เป็นโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาที่หลั่งออกเพื่อยกบาปโทษคนจำนวนมาก 29เราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มจากผลของเถาองุ่นนี้อีกต่อไปจนกว่าจะถึงวันนั้น ที่เราจะดื่มกับพวกท่านอีกในแผ่นดินแห่งพระบิดาของเรา”

พิธีมหาสนิทมีความสำคัญอย่างไร

1.เป็นอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูกับเหล่าสาวก

ลูกา 22:16 เราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่รับประทานปัสกานี้อีกจนกว่าจะสำเร็จความหมายของปัสกานั้นในแผ่นดินของพระเจ้า

หลังจากพิธีมหาสนิท คืนนั้นพระเยซูทรงอธิษฐานที่สวนเกทเสมนี ทรงถูกจับเวลาเช้ามืด หลังจากนั้นทรงถูกตัดสินประหารชีวิตโดยตรึงไว้ที่กางเขน สิ่งที่นักการศาสนาและมารซาตานเข้าใจว่าได้เอาชนะพระเยซูคริสต์ไปแล้วนั้น กลับกลายเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในการไถ่บาปเรา

พระเยซูมุ่งไปสู่กางเขนจนสำเร็จ สิ่งที่พระองค์กระทำ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเวลานั้น เป็นสิ่งที่มีความหมายและน่าจดจำเป็นอย่างยิ่ง

2. เป็นการประกาศว่าพระเยซูได้มาไถ่บาปโดยการสิ้นพระชนม์เพื่อเราจะได้ชีวิต

มัทธิว 26:26-28  26ระหว่างรับประทานอยู่นั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังขึ้นมา และเมื่อขอพระพรแล้ว ก็ทรงหักส่งให้บรรดาสาวกตรัสว่า “จงรับไปกินเถิด นี่เป็นกายของเรา” 27แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย เมื่อขอบพระคุณแล้ว ก็ทรงส่งให้พวกเขาตรัสว่า “จงรับไปดื่มทุกคนเถิด  28เพราะว่านี่เป็นโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาที่หลั่งออกเพื่อยกบาปโทษคนจำนวนมาก

ผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์ได้เข้าในพันธสัญญาของพระเยซูที่จะได้รับชีวิตใหม่ในพระเยซู (ยน 6:53-58)

3. เป็นช่วงเวลาแห่งความหวังใจในวาระสุดท้าย

เป็นความหวังใจว่าพระเยซูจะกลับมาแน่นอน

1 โครินธ์ 11:26 เพราะว่าเมื่อใดที่พวกท่านกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา

ลูกา 22:29-30  พระบิดาทรงจัดเตรียมและทรงมอบอาณาจักรให้แก่เราอย่างไร เราก็จัดเตรียมและมอบให้แก่ท่านเหมือนกัน เพื่อที่ท่านทั้งหลายจะได้กินและดื่มที่โต๊ะของเราในอาณาจักรของเรา และท่านจะได้นั่งบนบัลลังก์พิพากษาอิสราเอลสิบสองเผ่า

พระเยซูกำลังจะจากไป ทรงประทานความหวังใจแก่สาวกว่าวันข้างหน้าพระองค์จะทรงกินและดื่มแบบนี้ไม่ใช่บนโลก แต่ในอาณาจักรของพระเจ้าในวันสุดท้ายคือวันแห่งการพิพากษา สิ่งนี้เป็นความหวังใจของเราเช่นเดียวกัน

4. คริสเตียนควรร่วมพิธีนี้ด้วยการระลึกถึงข่าวประเสริฐนี้ด้วยท่าทีขอบพระคุณและยำเกรงพระเจ้า

1 โครินธ์ 11:27-32 27ฉะนั้นถ้าใครกินขนมปัง หรือดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่เหมาะสม เขาก็ทำผิดต่อพระกายและพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า 28ทุกคนจงสำรวจตัวเอง แล้วจึงกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ 29เพราะว่าคนที่กินและดื่มโดยไม่ได้ตระหนักถึงพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็กินและดื่มเป็นเหตุให้ตนเองถูกลงโทษ 30เพราะเหตุนี้พวกท่านหลายคนจึงอ่อนแอและเจ็บป่วย และบ้างก็ล่วงหลับไป 31แต่ถ้าเราวินิจฉัยตัวเอง เราคงไม่ต้องถูกพิพากษา 32เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาเรานั้น พระองค์ทรงตีสอนเรา เพื่อไม่ให้เราถูกพิพากษาด้วยกันกับโลก

ในคริสตจักรยุคแรกเรียกพิธีนี้ว่า Eucharist (eucharistesas แปลว่า give thanks การขอบพระคุณพระเจ้า) และการตั้งใจที่จะรักษาชีวิตในความชอบธรรม บริสุทธิ์ต่อพระเจ้า รอคอยวันพระเยซูกลับมา

เกิดอะไรขึ้นในระหว่างอาหารมื้อสุดท้าย

1. พระเยซูทรงล้างเท้าสาวก

เวลานั้นสาวกของพระเยซูถกเถียงกันว่าใครจะเป็นใหญ่กว่าใคร เวลานั้นพระเยซูทรงให้หลักการที่สำคัญมากคือหากผู้ใดจะเป็นใหญ่ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้รับใช้ปรนนิบัติคนทั้งปวง ไม่ใช่เป็นผู้ที่รับการปรนนิบัติ

ลูกา 22:26   แต่พวกท่านจะไม่เป็นอย่างนั้น ในพวกท่านคนที่เป็นใหญ่ต้องเป็นเหมือนเด็ก และคนที่เป็นนายต้องเป็นเหมือนผู้ปรนนิบัติ

ทรงทำสิ่งที่ทำให้เหล่าสาวกประหลาดใจมากในระหว่างอาหารมื้อสุดท้าย เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่อาจารย์จะกระทำ คือการล้างเท้าสาวกทีละคนรวมถึงยูดาสผู้ที่จะทรยศพระเยซูด้วย

ยอห์น 13:4-5  พระองค์ทรงลุกจากการเสวยอาหาร ทรงถอดฉลองพระองค์ออกวางไว้ และทรงเอาผ้าเช็ดตัวคาดเอวของพระองค์ แล้วทรงเทน้ำลงในอ่างและทรงเอาน้ำล้างเท้าของพวกสาวก และทรงเช็ดด้วยผ้าที่ทรงคาดเอวไว้นั้น

พระเยซูทรงตั้งใจวางแบบอย่างที่สำคัญมากในการรับใช้ คือให้เรารับใช้กันและกันด้วยความถ่อมใจ ยินดีทำในสิ่งที่ต่ำต้อยไร้เกียรติ ถ่อมใจต่อกันและกันด้วยใจและการกระทำ

ยอห์น 13:14 เพราะฉะนั้นถ้าเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระอาจารย์ยังล้างเท้าของพวกท่าน ท่านก็ควรจะล้างเท้าของกันและกันด้วย

ในตอนนี้จึงให้ข้อคิดที่สำคัญมากแก่เราคือ พระเยซูทรงรักเราจนถึงที่สุด แม้เราจะไม่สมบูรณ์ หรือจิตใจของเราได้ออกห่างไปจากพระองค์แล้วแบบยูดาสก็ตาม[1] ทรงแสดงความถ่อมพระทัย ทรงวางแบบอย่างแก่เราในการปรนนิบัติกันและกัน

2. ทรงประทานบัญญัติใหม่ให้เรารักซึ่งกันและกัน

ยอห์น 13:34-35 เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น ถ้าท่านรักกันและกัน ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา”

ส่วนสำคัญของพันธสัญญาใหม่คือบัญญัติใหม่เมื่อพระเยซูทรงเป็นแบบอย่างของความรักแล้ว เราควรรักกันและกันมากยิ่งกว่ารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเองแต่รักกันและกันเหมือนพระเยซูทรงรักเรา (1 ยอห์น 3:16)

ดังนั้นเมื่อเราเข้ามาสู่พิธีนี้ ให้เรากลับมาระลึกถึงแบบอย่างความรักของพระเยซูทรงทรงมีต่อเรา ให้เราตัดสินใจให้อภัยความผิดของพี่น้องและกลับมารักซึ่งกันและกันอย่างแท้จริงเสมอไป

พิธีมหาสนิทในภาคปฎิบัติ

ขั้นตอนพิธีมหาสนิทโดยทั่วไปจะเป็นดังนี้

  1. อธิษฐานให้ที่ประชุมอยู่ในความสงบและระลึกถึงความหมายของพิธีมหาสนิท
  2. ขอให้ผู้ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าอยู่ในความสงบโดยไม่ต้องรับพิธีนี้จนกว่าจะเชื่อวางใจในการไถ่ของพระเยซู
  3. หนุนใจให้ตระหนักในการให้อภัยบาปของพระเยซูคริสต์ ตระหนักในความรักของพระเยซูที่ยินดีรับโทษบาปของเราเพื่อเราจะยินดีให้อภัยผู้อื่น และกลับมาคืนดีกับพระเจ้าและพี่น้อง
  4. รับประทานขนมปังและน้ำองุ่นตามลำดับในที่ประชุมด้วยใจขอบพระคุณพระเจ้า

 

ผู้เขียน: อจ. ดร.กนก ลีฬหเกรียงไกร

 

ข้อมูลอ้างอิง

Matthew L. Skinner. Maundy Thursday: What Happened At The Last Supper?. Luther Seminary in Saint Paul. 2017.

Jonathan Klawans. Was Jesus’ Last Supper a Seder?. Biblical Archaeology Daily Magazine. Dec 2017.

All about Jesus Christ.org. The Last Supper: The Significance. [Also Available online] http://www.allaboutjesuschrist.org/the-last-supper.htm. June 2017.

[1] แม้กระนั้นก็ตามการแสดงออกถึงความถ่อมพระทัยของพระเยซูก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจยูดาสได้

Skip to content