แผนการอันสูงสุด
เทศนาโดย อ.กอบชัย จิราธิวัฒน์
ข้อพระคัมภีร์
31 ในระหว่างนั้นพวกสาวกทูลเชิญพระองค์ว่า “พระอาจารย์ เชิญรับประทานเถิด” 32 แต่พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เรามีอาหารรับประทานที่พวกท่านไม่รู้” 33 พวกสาวกจึงถามกันว่า “มีใครเอาอาหารมาให้พระองค์แล้วหรือ?” 34 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “อาหารของเราคือการทำตามพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้เรามาและทำให้งานของพระองค์สำเร็จ 35 พวกท่านบอกว่าอีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวแล้วไม่ใช่หรือ? ส่วนเราบอกพวกท่านว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ทุ่งนาเหลืองอร่ามและถึงเวลาเกี่ยวแล้ว 36 คนเกี่ยวกำลังได้รับค่าจ้างและกำลังรวบรวมพืชผลไว้สำหรับชีวิตนิรันดร์ เพื่อทั้งคนหว่านและคนเกี่ยวจะได้ชื่นชมยินดีด้วยกัน 37 คำที่เขาพูดกันก็เป็นความจริงในเรื่องนี้ คือ ‘คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนึ่งเกี่ยว’ 38 เราใช้พวกท่านไปเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้ตรากตรำ แต่คนอื่นตรากตรำและพวกท่านเข้าร่วมในการตรากตรำของเขา”
Core Value: SERVE ทุกคนร่วมใจรับใช้เหมือนพระคริสต์
S Spirit-Filled รับใช้โดยพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตามของประทาน
E Evangelize ประกาศข่าวประเสริฐด้วยคำพูดและชีวิต
R Responsible เป็นสาวก สร้างสาวก และรับใช้ตามพระมหาบัญชา
V Versatile มั่นคงในพระวจนะ ประยุกต์ใช้ตามบริบท
E Engaging ส่วนส่วนเสริมสร้างสังคมในความชอบธรรม
พระเจ้าทรงมีแผนการไถ่เพื่อมนุษยชาติ และเปิดเผยแผนการนี้ เพื่อมนุษย์จะไม่ต้องรับโทษทัณฑ์จากบาป โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์
อฟ.3:9-11 9 และทรงให้ทุกคนเห็นว่าอะไรคือแผนงานของความล้ำลึกที่พระเจ้าผู้ทรงสร้างทุกสิ่งทรงปิดบังไว้ตลอดหลายยุคที่ผ่านมา 10 เพื่อว่าพวกภูตผีที่ครอบครองและพวกภูตผีที่มีอำนาจในสวรรคสถาน จะได้รู้จักพระปัญญาอันมากล้นหลายด้านของพระเจ้าโดยทางคริสตจักรในเวลานี้ 11 ทั้งนี้เป็นไปตามพระประสงค์นิรันดร์ที่พระองค์ทรงทำแล้วในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
ท่าที 3 ประการในการมีส่วนร่วมในแผนการของพระเจ้า
1. มีชีวิตทุ่มเทจดจ่อในแผนการของพระเจ้า (31-34)
เหตุการณ์ในตอนนี้ ยน.4 พระเยซูกำลังเดินทางจากกาลิลีไปยังสะมาเรียและพักให้หายเหนื่อย สาวกกำลังเดินทางไปซื้ออาหารให้พระองค์ มีหญิงสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำที่บ่อน้ำ พระเยซูขอน้ำดื่มจากเธอ และได้สนทนากันถึงการนมัสการ จนในที่สุดหญิงคนนี้ทราบว่าพระเยซูที่กำลังคุยด้วยคือพระคริสต์ เธอจึงวิ่งออกไปประกาศให้คนแถวนั้นรู้ว่าเธอเจอพระคริสต์แล้ว สาวกกลับมาพร้อมอาหาร แต่พระองค์ตรัสว่าได้ทานอาหารเรียบร้อยแล้ว สาวกแปลกใจเพราะเพิ่งหามาและยังไม่ได้ทานกันเลย พระเยซูจึงบอกว่า อาหารของพระองค์คือ “การทำตามพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้มาและทำให้งานของพระองค์สำเร็จ” อาหารเป็นปัจจัยสำคัญของร่างกาย โดยปกติเราทานอาหารทุกวัน พระเยซูตรัสตอนนี้ว่า อาหารที่สำคัญสำหรับพระองค์คือ การประกาศข่าวประเสริฐทำให้หญิงสะมาเรียคนนี้พบความจริง
มธ.4:4 พระองค์ตรัสตอบว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’ ”
ฟป.2:8-11 8 พระองค์ทรงถ่อมตัวลง ทรงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งมรณาบนกางเขน 9 เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงยกพระองค์ขึ้นสูงสุด และประทานพระนามเหนือนามทั้งหมดแก่พระองค์ 10 เพื่อที่ว่าเพราะพระนามของ พระเยซูนั้น ทุกชีวิตในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก และใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกเข่าลงกราบพระองค์ 11 และเพื่อที่ว่าทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าพระบิดา
การรับใช้ไปเรื่อย ๆ ต่างจากการรับใช้ด้วยการตระหนักว่างานนี้เป็นของพระเจ้าและต้องทำให้สำเร็จ
2. รับใช้ตามแผนการของพระเจ้าเดี๋ยวนี้ (35)
พระเยซูสอนสาวกให้มองภาพฝ่ายวิญญาณ ทุ่งนาขณะนั้นอาจยังไม่ถึงเวลาเกี่ยว แต่พระเยซูบอกว่าให้สังเกตดี ๆ ทุ่งนาเหลืองอร่ามแล้ว คนจำนวนมากพร้อมจะรับข่าวประเสริฐแล้ว ไม่ต้องรอผัดผ่อน อ้างเหตุผลมากมายแม้ดูสมเหตุสมผล แต่ฟังไม่ขึ้นในสายพระเนตรพระเจ้า
มก.16:15-16 15 พระองค์ตรัสสั่งพวกสาวกว่า “พวกท่านจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน 16 ใครเชื่อและรับบัพติศมาก็จะรอด แต่ใครไม่เชื่อจะต้องถูกลงโทษ
ทุกวันนี้มีคนพร้อมเปิดใจต้อนรับพระเยซู คริสเตียนมีความพร้อมขนาดไหนที่จะประกาศข่าวประเสริฐ
เรามีโอกาสประกาศข่าวประเสริฐมากยิ่งกว่าในอดีต แม้อยู่ในช่วงหยุดเชื้ออยู่บ้าน แต่ก็สามารถใช้การสื่อสารออนไลน์ ในการประกาศข่าวประเสริฐได้
3. ร่วมใจรับใช้ในแผนการแผนการของพระเจ้าด้วยใจยินดี (36-38)
แผนการของพระเจ้าคือการนำคนรับความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพื่อจะรับผลสำเร็จแบบนิรันดร์กาล ไม่มีงานใดในโลกนี้จะส่งผลยั่งยืนเท่ากับงานรับใช้พระเจ้า เพราะงานทุกอย่างในโลกจะสิ้นสุดเมื่อโลกนี้สิ้นสุด แต่งานรับใช้พระเจ้าจะยังคงส่งผลต่อเนื่องไปถึงสวรรค์ นั่นคือ ชีวิตนิรันดร์ที่เราและคนอีกมากมายจะได้รับ ดังนั้นควรเป็นความยินดีสูงสุดของคริสเตียนทุกคน ต่างคนต่างช่วยกัน ที่จะนำคนมาพบพระเจ้า
อสย.55:10-11 10 “เพราะเหมือนฝนและหิมะลงมาจากฟ้าสวรรค์ และไม่กลับที่นั่นเว้นแต่ได้รดแผ่นดินโลก แล้วทำให้บังเกิดผลและแตกหน่อ ทั้งให้เมล็ดพืชแก่ผู้หว่านและอาหารแก่คนกิน 11 ทำนองเดียวกัน คำของเราที่ออกจากปากของเรา จะไม่กลับมาสู่เราเปล่าๆ แต่จะทำให้สิ่งที่เราพอใจนั้นสำเร็จ และให้สิ่งที่เราใช้ไปทำนั้นเสร็จสิ้น
พระเจ้าทรงเรียกเรามาร่วมในแผนการนี้ พระองค์จะสนับสนุนและช่วยเราให้ไปถึงความสำเร็จ และวันหนี่งพระเยซูจะเสด็จกลับมาเพื่อรับเราไปอยู่กับพระองค์
“คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนี่งเกี่ยว” คนในอดีตและในพระคัมภีร์เดิมได้หว่านข่าวประเสริฐมาก่อนแล้ว คนในยุคพระเยซูก็มาเกี่ยว ตลอดมาถึงปัจจุบันที่มีคนออกแรงตรากตรำหว่านข่าวประเสริฐมามากแล้ว เราในขณะนี้ต้องรีบเก็บเกี่ยวผลเพื่อจะชื่นชมยินดีด้วยกัน
1 คร.3:11-15 11 เพราะว่าใครจะมาวางรากอื่นอีกไม่ได้แล้ว นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์ 12 บนรากนั้นถ้าใครจะก่อขึ้นด้วยทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง 13 การงานของแต่ละคนก็จะปรากฏให้เห็น เพราะวันพิพากษานั้นจะสำแดงให้เห็น คือจะถูกเผยให้เห็นด้วยไฟ และไฟนั้นจะพิสูจน์ว่าการงานของแต่ละคนเป็นอย่างไร 14 ถ้าการงานของใครที่ก่อขึ้นทนอยู่ได้ คนนั้นก็จะได้บำเหน็จ 15 ถ้าการงานของใครถูกเผาไหม้ไป คนนั้นก็จะได้รับความสูญเสีย ส่วนตัวเขาเองจะรอด แต่เหมือนดังรอดจากไฟ